iok2u.com แหล่งรวมข้อมูลข่าวสารเรื่องราวน่าสนใจเพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) สวัสดีปีใหม่ เดินหน้า“ปั้น ปรุง เปลี่ยน” ผู้ประกอบการ SMEs ให้ดีพร้อม (DIprom)
สวัสดีปีใหม่ 2563 ทุกท่านครับ ในโอกาสวาระขึนปีใหม่ ผม ณัฐพล รังสิตพล ในฐานะอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ขออวยพรให้ทุกท่านมีความสุข ธุรกิจเจริญก้าวหน้า ค้าขายรํ่ารวย ตลอดปีหนูทอง ครับ
เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสแถลงนโยบายและทิศทางในการดําเนินงานภายในปี 2563 ซึ่งผมและเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้ช่วยกันระดมสมองในการสรรสร่างและวางแนวทางในการพัฒนาพี่น่องผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลให้บรรลุตามเป้าหมาย จึงเป็นที่มาของนโยบาย “ปั้น ปรุง เปลี่ยน เอสเอ็มอีให้ดีพร้อม (DIProm)” รายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น ผมขอใช้โอกาสนี้ ้แชร์ให้ทุกท่านได้ทราบครับ
ก่อนอื่นผมขอขยายความที่มาของคําว่า DIProm ซึ่งย่อมาจาก Department of Industrial Promotion หรือชื่อภาษาอังกฤษของ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นั่นเอง สามารถอ่านออกเสียงได้ว่า “ดีพร้อม” (DIProm) โดยในอดีต หลายท่านคงคุ้นหูชื่อ ย่อของกรม เช่น กสอ. กรมส่งเสริม หรือ DIP ดังนั้น เพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึน กรมจึงมีแนวคิดที่ใช้คําว่า “ดีพร้อม” เป็นชื่อย่อ ผนวกกับนโยบายที่กรมต้องเร่งดําเนินการ จึงเป็นที่มาของนโยบายการดําเนินงานปี 2563 ที่ชื่อว่า “ปั้น ปรุง เปลี่ยน เอสเอ็มอีให้ดีพร้อม (DIProm)” โดยเริ่มจากการ “ปั้น” ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ใน 3 มิติ “ก – ส – อ” คือ
มิติที่ 1 (ก) : ปั้นเอสเอ็มอีเกษตรอุตสาหกรรม โดยพัฒนาจากเกษตร ดั้งเดิมไปสู่เกษตรสมัยใหม่ ที่ใช้การบริหารจัดการ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อเปลี่ยนเกษตรกรให้เป็ นนักธุรกิจเกษตร โดยนําระบบการผลิตและบริหารจัดการในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจเกษตร เช่น Toyota Production System (TPS), Kaizen และนํานวัตกรรม เทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป นอกจากนี้ยังรวมถึงการปั้นธุรกิจเอสเอ็มอีด้วยเครื่องจักรกลการเกษตรที่ยังขาดแคลน เช่น เครื่องลดความชื้นข้าวเปลือก ตลอดจนการปั้นเอสเอ็มอีผู้ให้บริการเครื่องจักรกลทางการเกษตรแปลงเล็กแบบครบวงจรในอัตราค่าบริการที่เอื้อมถึงได้ การส่งเสริมการพัฒนาสินค้าเกษตรแปรรูปผ่านศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 (ITC 4.0) ในทุกภูมิภาค ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลผลิต และการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการต่อยอดธุรกิจ
มิติที่ 2 (ส) : ปั้นเอสเอ็มอีให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ โดยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่บนพื้นฐานของการใช้องค์ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และทรัพย์สินทางปัญญา เชื่อมโยงกับทุนทางวัฒนธรรม เทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่ จนเกิดเป็นอัตลักษณ์และมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ของชุมชน รวมถึงปั้นระบบการพัฒนาคนรุ่นใหม่ โดยร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เพื่อสร้างระบบฝึกงานให้นักศึกษาในภาคการเรียนปกติ หรือที่เรียกว่า “สหกิจ” โดยนักศึกษาจะได้รับหน่วยกิตและผลคะแนนจากการนําความคิดสร้างสรรค์และความรู้ในห้องเรียนไปประยุกต์ใช้กับการทํางานจริงในสถานประกอบการ ซึ่งเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์และเสริมสร้างแนวคิดการเป็นผู้ประกอบการใหม่ (New Entrepreneur)
มิติที่ 3 (อ): ปั้นเอสเอ็มอีให้มีประสิทธิภาพ ผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอัจฉริยะ โดยจะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการใช้ซอฟต์แวร์และแอพพลิเคชั่น ในการทําธุรกิจ (Business Software & Application) ซึ่งรวบรวมจากฐานข้อมูลของ DEPA ฐานข้อมูลของสมาคมตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย และฐานข้อมูลของ กสอ. โดยจะ คัดเลือกบริษัทผู้ให้บริการซอฟต์แวร์และแอพพลิเคชั่น รูปแบบ Cloud-Based ที่มีคุณภาพ ไม่น้อยกว่า 20 บริษัท และเปิดให้ผู้ประกอบการได้ทดลองใช้ฟรี ไม่น้อยกว่า 6 เดือน ทั้งนี้ กสอ. จะขอให้ผู้ประกอบการใช้งานซอฟต์แวร์ หรือแอพพลิเคชั่นอย่างน้อย 1 โปรแกรม ซึ่งในขณะเดียวกัน นี่จะเป็นการช่วยส่งเสริมผู้ผลิตแอพพลิเคชั่น หรือ สตาร์ตอัพที่มีศักยภาพไปพร้อมกัน
แนวทางต่อมา คือ “ปรุง” ระบบนิเวศในการสนับสนุนเอสเอ็มอี ด้วยการบูรณาการ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน โดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า สมาพันธ์เอสเอ็มอี สภาเกษตรกร และผู้นําพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยกันปรุงมาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมสู่ภูมิภาค ตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และแก้ปัญหาของผู้ประกอบการได้อย่างตรงประเด็น โดยเน้นจุดแข็งของกรม คือ เครือข่ายผู้ประกอบการที่มีความหลากหลายในทุกประเภทธุรกิจ ทุกพื้นที่และทุกระดับ ซึ่งนับเป็นแบบอย่างความสําเร็จ (Success Case) ที่จะช่วยผลักดัน และขยายผลให้เกิดผู้ประกอบการที่ประสบความสําเร็จมากขึ้นโดยเร็ว ทั้งหมดนี้ จึงเปรียบเสมือนการนําข้อดีของแต่ละหน่วยงานมาปรุงเป็นสูตรเด็ด ที่จะช่วยให้ธุรกิจของเอสเอ็มอีมีความกลมกล่อมยิ่งขึ้น
และแนวทางสุดท้าย คือ “เปลี่ยน” วิธีทํางานเพื่อพัฒนาเอสเอ็มอีในทุก ๆ อุตสาหกรรม โดยกรมจะปรับโครงสร้างหน่วยงานภายใน เพื่อมุ่งเน้นการส่งเสริมด้านเกษตรอุตสาหกรรมควบคู่ไปกับด้านอื่น ๆ อย่างเต็มประสิทธิภาพและเปลี่ยนบทบาทศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคให้เน้นพัฒนาผู้ประกอบการด้านเกษตรอุตสาหกรรม รวมถึงปรับเปลี่ยนการให้บริการของศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 (ITC 4.0) ให้สะดวกรวดเร็วขึ้น ขณะเดียวกันเพื่อให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้ปรับระบบการให้บริการในรูปแบบดิจิทัลเซอร์วิส กรมจึงมีนโยบายให้ผู้ประกอบการทุกรายที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ และที่ปรึกษาที่ร่วมงานกับกรมจะต้องลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ i-Industry Big Data ของกระทรวงอุตสาหกรรมนโยบาย “ปั้น ปรุง เปลี่ยน เอสเอ็มอีให้ดีพร้อม” นั้น มีใจความสําคัญ คือ การปรับกลไกการดําเนินงานและบูรณาการความร่วมมือกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อร่วมพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการในทุกจังหวัด ทุกพื้นที่ ทุกชุมชน อันเป็นการสร้างเสริมเศรษฐกิจให้แข็งแรงจากฐานรากอย่างยั่งยืนและมั่นคง โดยผมเชื่อว่าผู้ประกอบการทุกรายล้วนมี “ดี” อยู่แล้วทั้งสิ้น และ กสอ. ของเราก็พร้อมที่จะปั้น ปรุง และเปลี่ยน ทุกท่านให้ไม่ใช่แค่ “ดี” แต่ต้อง “ดีพร้อม” ไปด้วยกัน
ที่มา
เอกสารประกอบการประชุมผู้บริหาร กสอ. ครั้งที่ 59-3/2563 วันที่ 9 มกราคม 2563 ณ ห้องประชุมชั้น 6 โซนบี อาคาร กสอ.
-----------------------------------------------------
ติดตามข้อมูลข่าวสารด้านอุตสาหกรรมเพิ่มเติม คลิกที่นี่
-----------------------------------------------------
#iok2u
www.iok2u.com
กฎกระทรวง กำหนดลักษณะของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. ๒๕๖๒
อำศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ และมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกำศคณะรักษำ ความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๙๙/๒๕๕๗ เรื่อง กำรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม ลงวันที่ ๒๑ กรกฎำคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ นายกรัฐมนตรี ออกกฎกระทรวงไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดจำนวนการจ้างงานและมูลค่าสินทรัพย์ถาวรของวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. ๒๕๔๕
ข้อ ๒ วิสาหกิจขนาดย่อม ได้แก่ กิจการที่มีลักษณะ ดังต่อไปนี้
(๑) กิจการผลิตสินค้าที่มีจำนวนการจ้างงานไม่เกินห้าสิบคนหรือมีรายได้ต่อปีไม่เกิน หนึ่งร้อยล้านบาท
(๒) กิจการให้บริการ กิจการค้าส่ง หรือกิจการค้าปลีก ที่มีจำนวนการจ้างงานไม่เกิน สามสิบคนหรือมีรายได้ต่อปีไม่เกินห้าสิบล้านบาท
ข้อ ๓ วิสาหกิจขนาดกลาง ได้แก่ กิจการที่มีลักษณะ ดังต่อไปนี้
(๑) กิจการผลิตสินค้ำที่มีจำนวนการจ้างงานเกินกว่าห้าสิบคนแต่ไม่เกินสองร้อยคน หรือมีรายได้ต่อปีเกินกว่าหนึ่งร้อยล้านบาทแต่ไม่เกินห้าร้อยล้านบาท
(๒) กิจการให้บริการ กิจการค้าส่ง หรือกิจการค้าปลีก ที่มีจำนวนการจ้างงานเกินกว่า สามสิบคน แต่ไม่เกินหนึ่งร้อยคน หรือมีรายได้ต่อปีเกินกว่าห้าสิบล้านบาท แต่ไม่เกินสามร้อยล้านบาท
ข้อ ๔ จำนวนการจ้างงานและรายได้ ตามข้อ ๒ และข้อ ๓ ให้พิจารณาจากหลักฐำน ดังต่อไปนี้
(๑) จำนวนการจ้างงาน ให้พิจารณาจากหลักฐานแสดงจำนวนการจ้างงานที่ได้จัดทำขึ้นตามที่ กฎหมายกำหนด
(๒) จำนวนรายได้ ให้พิจำรณาจากรายได้รวมที่ระบุไว้ในงบการเงินที่ได้จัดทำขึ้นตามที่ กฎหมายว่าด้วยการบัญชีกำหนดหรือเอกสารบัญชีแสดงรายได้
ข้อ ๕ ในกรณีที่กิจการมีจำนวนการจ้างงานที่เข้าลักษณะของวิสาหกิจประเภทหนึ่ง แต่มีรายได้ที่เข้าลักษณะของวิสาหกิจอีกประเภทหนึ่ง ให้ถือรายได้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา
ให้ไว้ ณ วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2562
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
--------------------------------------
ดูเพิ่มเติม
กฎกระทรวง กำหนดลักษณะของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. 2562
--------------------------------------
ที่มา https://www.sme.go.th
“พี่กอบตอบโจทย์” ‘Connected Industry’ เรื่องใหม่ที่ผู้ประกอบการไทยต้องรู้ !
การจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในระยะยาวนั้น ผู้ประกอบการต้องรู้จักมองการณ์ไกล รู้ลึกในสิ่งที่ตนลงมือทำ และรู้กว้างในความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ไม่ใช่เพียงภาวการณ์ในประเทศเท่านั้น แต่การขับเคลื่อนไปของชาติต่างๆ ในระดับสากลก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
.
ดังเช่นนโยบาย ‘Connected Industries’ ของประเทศญี่ปุ่น ที่ผมกำลังจะหยิบยกมาเล่าให้ทุกคนได้ฟังกัน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่คนไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ ควรทำความเข้าใจเอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้ เพราะเรื่องดังกล่าวจะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมไทยเช่นเดียวกัน
.
โดยก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการผลิตสินค้าที่มีความซับซ้อน ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของหลายบริษัท หรือที่เรียกว่าห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เช่นการผลิตรถยนต์สักคัน จะมีผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่บริษัทวิจัย พัฒนา และออกแบบ บริษัทจัดการวัตถุดิบ บริษัทผลิตชิ้นส่วน บริษัทประกอบยานยนต์ ไปจนถึงดีลเลอร์ ที่ดูแลเรื่องการตลาด และบริการหลังการขาย
.
จะเห็นได้ว่ากว่าสินค้าชิ้นหนึ่งจะไปถึงมือผู้บริโภคนั้นต้องผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรมมากมาย ซึ่งหากห่วงโซ่คุณค่ามีความเข้มแข็ง รู้จักสื่อสาร แบ่งปันความรู้ และเทคโนโลยีซึ่งกันและกัน เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพตลอดสาย ก็จะสามารถสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจ และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับประเทศได้มหาศาล
.
นี่จึงเป็นที่มาของนโยบาย ‘Connected Industries’ โดยกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) ที่มุ่งเชื่อมโยงห่วงโซ่คุณค่าเข้าด้วยกัน ทั้งในแง่ของบุคลากร ความรู้ และเครื่องจักร ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น Big Data, AI และ IoT เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม และคุณภาพชีวิตของคนในสังคมไปพร้อมกัน
.
นอกจากเชื่อมโยงห่วงโซ่คุณค่าในประเทศแล้ว METI ยังขยายความร่วมมือไปยังต่างประเทศด้วย ซึ่งประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่รับแนวคิดนี้มาร่วมดำเนินงาน โดยเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมได้ลงนามความร่วมมือกับ METI เพื่อสนับสนุนกิจกรรมการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย (S-Curve) ผ่าน 3 โครงการ [อ่านรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่ bit.ly/2NIPOJe ] และ http://www.itc.or.th/
.
นั่นหมายความว่าแนวคิดดังกล่าวเริ่มถูกนำมาปรับใช้กับอุตสาหกรรมในประเทศไทยแล้วเช่นกัน จึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจ โดยเฉพาะ SMEs ที่ปัจจุบันมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ในห่วงโซ่คุณค่า หากผู้ประกอบการคนไหนสามารถนำความรู้ และเทคโนโลยีมาพัฒนาให้ตัวเองเข้าสู่ยุค 4.0 ได้ ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสใหม่ๆ ในทางธุรกิจ ตลอดจนรองรับแนวคิด Connected Industries ที่กำลังมาเร็วและแรงได้อย่างไม่ไหวเอน
.
ข้อมูลประกอบ
http://www.meti.go.jp/…/mon…/connected_industries/index.html
https://www.prachachat.net/economy/news-157017
-----------------------------------------------------
ติดตามข้อมูลข่าวสารด้านอุตสาหกรรมเพิ่มเติม คลิกที่นี่
-----------------------------------------------------
#iok2u
www.iok2u.com
สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนแล้ว จะมีเงินจำนวน 1,000 บาท อยู่ในแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” โดยต้องใช้เงินครั้งแรกภายใน 14 วัน นับจากวันที่ได้รับเงินดังกล่าว และหากใช้ครั้งแรกไม่หมด ก็จะสามารถใช้เงินที่เหลือได้ไปจนกระทั่งถึงวันที่ 30 พ.ย.62 โดยมีกำหนดการลงทะเบียนเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย. 2562
1. เข้าเว็บไซต์ www.ชิมช้อปใช้.com เพื่อลงทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน (หลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป) – 15 พฤศจิกายน 2562 หรือจนกว่าสิทธิ์จะหมด (สามารถลงทะเบียนได้วันละ 1 ล้านคน)
2. กรอกข้อมูลส่วนตัว ชื่อ-นามสกุล เลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ อีเมล และเลือก 1 จังหวัดที่จะเดินทางไปใช้สิทธิ์ (ต้องเป็นจังหวัดที่ไม่ซ้ำกับที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน)
3. หากลงทะเบียนสำเร็จจะได้รับอีเมลยืนยัน แต่หากลงทะเบียนไม่สำเร็จ เนื่องจากมีผู้ลงทะเบียนเต็มจำนวน 1 ล้านคน/วัน แล้ว สามารถลงทะเบียนใหม่ได้ในวันถัดไป
4. ผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จและผ่านการตรวจสอบจากกรมการปกครองแล้ว ภายใน 3 วัน ธนาคารกรุงไทยจะส่ง SMS ยืนยันให้ทราบว่าได้รับสิทธิ์ พร้อมระบุระยะเวลา และจังหวัดที่สามารถเดินทางไปใช้สิทธิ์ได้ แต่ในกรณีผิดพลาด จะมี SMS แจ้งให้ทราบ ซึ่งสามารถดำเนินการลงทะเบียนใหม่ในรอบถัดไปได้
5. เมื่อได้รับสิทธิ์แล้ว ให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” เพื่อรองรับการโอนและใช้จ่ายเงิน 1,000 บาท
--------------------------------------------------------------------------
Food Truck Station มหกรรมเพื่อผู้สนใจจะเริ่มลงทุน หรือกำลังคิดจะทำธุรกิจ food truck
ข่าวฝากประชาสัมพันธ์
@ วันที่ 6 ส.ค. ตั้งแต่เวลา 9.00-16.00 น. ณ ห้องจูปิเตอร์ 8-10, อิมแพ็ค เมืองทองธานี.
งานเดียวที่รวบรวมซัพพลายเออร์กว่า 30 ราย ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตและให้เช่ารถฟู้ดทรัค ธุรกิจแฟรนไชส์ฟู้ดทรัค วัตถุดิบ และเครื่องปรุงอาหาร บรรจุภัณฑ์ เครื่องครัวและอุปกรณ์ทำอาหาร ระบบ POS และการออกแบบ ธนาคารและบริษัทประกันภัย โรงเรียนสอนทำอาหาร หน่วยงานสนับสนุน
.
เริ่มพิธีเปิดเวลา 9.00 น.
และพิเศษเสวนา "ฟู้ดทรัค ธุรกิจติดล้อ ไม่ง้อเงินเดือน" เวลา 11.15 น.
.
งานดีแบบนี้พลาดไม่ได้แล้ว
ลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่
เว็บไซต์ www.iok2u.com นี้เกิดมาจาก แรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward โดยมีเป้าหมายเล็ก ๆ ที่กำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่เข้าเรียนสัมมนาหรืออบรมในแต่ละครั้ง จะนำความรู้มาจัดทำเป็นบทความอย่างน้อย 3 เรื่อง เพื่อมาลงในเว็บนี้
ความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับมาทำการถ่ายทอดต่อไป และหวังว่าจะมีคนมาอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์นำเอาไปใช้ได้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลย โดยอาจไม่ต้องอ้างอิงที่มาหรือมาตอบแทนผู้จัด แต่ขอให้ส่งต่อหากคิดว่ามันดีหรือมีประโยชน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้และสิ่งดี ๆ ต่อไปข้างหน้าต่อไป Pay It Forward