iok2u.com แหล่งรวมข้อมูลข่าวสารเรื่องราวน่าสนใจเพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้

มิสเตอร์เรน (Mr. Rain) และมิสเตอร์เชน (Mr. Chain)
Mr. Rain และ Mr. Chain สองพี่น้องในโลกออฟไลน์และออนไลน์ที่จะมาร่วมมือกันสร้างสื่อสารสนเทศ เพื่อเผยแพร่ให้ความรู้ในเรื่องราวต่างๆ มากมายสร้างสังคมในการเรียนรู้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา
ยืนหยัด เข้มแข็ง และกล้าหาญ (Stay Strong & Be Brave)
ขอเป็นกำลังใจให้คนดีทุกคนในการต่อสู้ความอยุติธรรม ในยุคสังคมที่คดโกงยึดถึงประโยชน์ส่วนตนและพวกฟ้องมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม จนหลายคนคิดว่าพวกด้านได้อายอดมักได้ดี แต่หากยึดคำในหลวงสอนไว้ในเรื่องการทำความดีเราจะมีความสุขครับ
Pay It Forward เป้าหมายเล็ก ๆ ในการส่งมอบความดีต่อ ๆ ไป
เว็ปไซต์นี้เกิดจากแรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward ที่เล่าถึงการมีเป้าหมายเล็ก ๆ กำหนดไว้ให้ส่งมอบความดีต่อไปอีก 3 คน หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา อยากให้ส่งต่อเพื่อถ่ายทอดต่อไป

2023 คินาบาลู อุทยานธรณีโลก (Kinabalu UNESCO Global Geopark)

 

คินาบาลู อุทยานธรณีโลกแห่งยูเนสโก (Kinabalu UNESCO Global Geopark) มรดกโลกใต้ปีกคิริวาส

อุทยานธรณีโลกยูเนสโกคินาบาลู (Kinabalu UNESCO Global Geopark) ซึ่งได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 ถือเป็นอัญมณีทางธรณีวิทยาและระบบนิเวศของรัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย การขึ้นทะเบียนนี้ไม่เพียงแต่เน้นย้ำถึงความสำคัญระดับสากลของมรดกทางธรณีวิทยาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาที่ยั่งยืน การให้ความรู้ และการอนุรักษ์พื้นที่อันกว้างใหญ่ถึง 4,750 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมเขตโคตาเบลุด (Kota Belud), โคตามารูดุ (Kota Marudu) และบางส่วนของราเนา (Ranau)

บริบททางภูมิศาสตร์และธรณีวิทยา (Geographical & Geological Context)

ภูมิประเทศ (Topography)

อุทยานธรณีโลกคินาบาลูตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย มีศูนย์กลางอยู่ที่ภูเขาคินาบาลู (Mount Kinabalu) ยอดเขาที่สูงที่สุดระหว่างเทือกเขาหิมาลัยและเกาะนิวกินี ด้วยความสูง 4,095 เมตรจากระดับน้ำทะเล ภูเขาแห่งนี้เป็นจุดเด่นของภูมิประเทศอันน่าทึ่ง ภูมิทัศน์โดยรอบประกอบด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อน หุบเขาที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็ง (glacial erosion) และที่ราบสูง สภาพภูมิประเทศที่หลากหลายนี้เป็นผลมาจากกระบวนการทางธรณีวิทยาที่ยาวนานและซับซ้อน

ธรณีวิทยาและกระบวนการกำเนิด (Geology and Formation Process)

คินาบาลูโดดเด่นด้วยความหลากหลายทางธรณีวิทยา (geodiversity) อันน่าทึ่ง ซึ่งเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ของโลกที่เปิดเผยผ่านหินและลักษณะภูมิประเทศต่างๆ:

  1. หินอัลตรามาฟิก (Ultramafic Rocks): เป็นหินที่มีอายุเก่าแก่หลายพันล้านปี ซึ่งโดยปกติแล้วจะพบอยู่ในชั้นเนื้อโลก (Earth's mantle) แต่บางครั้งก็ถูกดันขึ้นสู่ผิวโลกในระหว่างการปะทุของภูเขาไฟ หรือกระบวนการยกตัวของเปลือกโลก (tectonic uplift) หินเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการศึกษาองค์ประกอบภายในโลก และกระบวนการทางธรณีพลศาสตร์ (geodynamic processes)

  2. หินแกรนิตแทรกซอน (Granite Intrusions): เป็นหินอัคนีแทรกซอน (intrusive igneous rocks) ที่เกิดจากการที่หินหนืด (magma) ไม่ได้ปะทุขึ้นสู่ผิวโลก แต่แข็งตัวอยู่ใต้เปลือกโลก หินแกรนิตที่นี่เป็นหินแกรนิตอยด์ (granitoid) ที่อายุน้อยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอายุประมาณ 7-8 ล้านปี การแทรกซอนของหินแกรนิตนี้เองที่ทำให้เกิดการยกตัวของภูเขาคินาบาลูขึ้นสูงกว่า 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลในปัจจุบัน สร้างสรรค์ภูมิทัศน์ภูเขาอันโดดเด่น

  3. ลำดับชั้นโอฟิโอไลต์ (Ophiolite Sequence): เป็นหลักฐานของเปลือกโลกมหาสมุทรโบราณ (ancient oceanic crust) ที่มีอายุประมาณ 130 ล้านปี ซึ่งบันทึกร่องรอยการมุดตัวลง (subduction) ของแผ่นเปลือกโลกโปรโต-ทะเลจีนใต้ (Proto-South China Sea lithosphere) การปรากฏของลำดับชั้นโอฟิโอไลต์นี้บ่งชี้ถึงประวัติศาสตร์การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก (plate tectonics) ที่สำคัญในภูมิภาค

  4. หินตะกอนคดโค้งและรอยเลื่อน (Folded and Faulted Sedimentary Rocks): บริเวณราเนา-ทัมบูนัน (Ranau-Tambunan area) แสดงให้เห็นถึงหินตะกอนที่ได้รับผลกระทบจากการบีบอัดของเปลือกโลก ทำให้เกิดการคดโค้ง (folding) และรอยเลื่อน (faulting) ที่ซับซ้อน สะท้อนถึงแรงกระทำมหาศาลภายในโลก

นอกจากนี้ ภูเขาคินาบาลู ยังมีภูมิทัศน์ธารน้ำแข็งที่งดงามที่สุดในเขตร้อน (spectacular glacial landscape in the tropics) ซึ่งเกิดจากกระบวนการธารน้ำแข็งในช่วงยุคน้ำแข็งสุดท้าย (Last Ice Age) และที่ราบพีนูซุก (Pinousuk Plain) บริเวณตีนเขาคินาบาลูยังเป็นแหล่งสะสมของตะกอนธารน้ำแข็ง (tilloid deposits) ที่กว้างขวางที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีอายุน้อยถึง 10,000 ปี ข้อมูลทางธรณีวิทยาทั้งหมดนี้สามารถตรวจสอบได้จากแหล่งข้อมูลอย่างเป็นทางการที่ระบุไว้.

แหล่งธรณีวิทยาสำคัญ (Key Geosites)

อุทยานธรณีโลกคินาบาลูมีแหล่งธรณีวิทยา (geosites) ที่ได้รับการยอมรับกว่า 46 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งล้วนมีความสำคัญและเรื่องราวทางธรณีวิทยาที่น่าสนใจ ในที่นี้จะนำเสนอแหล่งธรณีวิทยาสำคัญ 4 แห่งที่เป็นไฮไลท์ของการเดินทาง:

1. ภูเขาคินาบาลูและภูมิทัศน์ธารน้ำแข็ง (Mount Kinabalu & Glacial Landscape)

ภูเขาคินาบาลูเป็นหัวใจของอุทยานธรณีแห่งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นยอดเขาที่สูงตระหง่านที่สุดในภูมิภาค แต่ยังเป็นห้องเรียนธรณีวิทยาธรรมชาติขนาดใหญ่ ตัวภูเขาประกอบด้วยหินแกรนิตอยด์ (granitoid) ที่อายุน้อย ซึ่งเป็นผลมาจากการแทรกซอนของหินหนืด (magma intrusion) เมื่อ 7-8 ล้านปีก่อน กระบวนการยกตัวของเปลือกโลก (tectonic uplift) อย่างต่อเนื่องได้ผลักดันให้ภูเขานี้สูงขึ้นเรื่อยๆ เผยให้เห็นร่องรอยของกระบวนการก่อภูเขา (orogenesis) ที่ซับซ้อน

สิ่งที่น่าทึ่งอีกประการหนึ่งคือ "ภูมิทัศน์ธารน้ำแข็ง" ที่ยอดเขาคินาบาลู ในช่วงยุคน้ำแข็งสุดท้าย (Last Ice Age) เมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อน ยอดเขาแห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยธารน้ำแข็ง (glaciers) ซึ่งกัดเซาะและแกะสลักภูเขาให้เกิดเป็นหุบเขารูปตัวยู (U-shaped valleys) สันเขาแบบฟันปลา (arêtes) และยอดเขาแบบฮอร์น (horns) ที่สวยงาม แม้ในปัจจุบันธารน้ำแข็งจะหายไปแล้ว แต่ร่องรอยเหล่านี้ยังคงเป็นพยานถึงสภาพอากาศในอดีต และเป็นหนึ่งในภูมิทัศน์ธารน้ำแข็งที่โดดเด่นที่สุดในเขตร้อน (spectacular glacial landscape in the tropics)

บริเวณตีนเขาของภูเขาคินาบาลู โดยเฉพาะที่ราบพีนูซุก (Pinousuk Plain) ยังพบ "ตะกอนธารน้ำแข็ง" (tilloid deposits) ซึ่งเป็นตะกอนที่ถูกพัดพาและสะสมโดยธารน้ำแข็งเมื่อประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว ตะกอนเหล่านี้เป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันถึงการมีอยู่ของธารน้ำแข็งบนภูเขาคินาบาลู และเป็นแหล่งศึกษาธรณีสัณฐานวิทยาธารน้ำแข็ง (glacial geomorphology) ที่หาได้ยากในเขตร้อน

2. แหล่งหินอัลตรามาฟิกและลำดับชั้นโอฟิโอไลต์ (Ultramafic Rocks & Ophiolite Sequence)

อุทยานธรณีคินาบาลูเป็นที่ตั้งของ "หินอัลตรามาฟิก" (ultramafic rocks) ที่มีอายุเก่าแก่หลายพันล้านปี หินเหล่านี้เป็นองค์ประกอบหลักของชั้นเนื้อโลก (Earth's mantle) และการปรากฏบนผิวโลกบ่งชี้ถึงกระบวนการทางธรณีวิทยาที่รุนแรง เช่น การยกตัวของเปลือกโลก หรือการปะทุของภูเขาไฟ หินอัลตรามาฟิกมักมีสีเข้มและมีองค์ประกอบของแร่ที่มีธาตุเหล็กและแมกนีเซียมสูง

นอกจากนี้ ยังพบ "ลำดับชั้นโอฟิโอไลต์" (ophiolite sequence) ซึ่งเป็นชุดหินที่เชื่อกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของเปลือกโลกมหาสมุทรโบราณ (ancient oceanic crust) ที่ถูกดันขึ้นสู่ทวีปผ่านกระบวนการมุดตัว (subduction) และการชนกันของแผ่นเปลือกโลก (continental collision) ลำดับชั้นโอฟิโอไลต์ในคินาบาลูมีอายุประมาณ 130 ล้านปี และเป็นบันทึกทางธรณีวิทยาที่สำคัญของการมุดตัวของแผ่นเปลือกโลกโปรโต-ทะเลจีนใต้ (Proto-South China Sea lithosphere) การศึกษาหินเหล่านี้ช่วยให้นักธรณีวิทยาสามารถสร้างภาพประวัติศาสตร์การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก (plate tectonics) และวิวัฒนาการทางธรณีวิทยาของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

3. บ่อน้ำพุร้อนปอริง (Poring Hot Springs)

บ่อน้ำพุร้อนปอริงเป็นหนึ่งในลักษณะภูมิประเทศที่โดดเด่นและน่าสนใจทางธรณีวิทยาภายในอุทยานธรณีโลกแห่งนี้ "น้ำพุร้อน" (hot springs) เป็นปรากฏการณ์ที่น้ำใต้ดิน (groundwater) ได้รับความร้อนจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ (geothermal energy) ที่เกิดจากการแทรกซอนของหินหนืด (magma intrusion) หรือกิจกรรมของรอยเลื่อน (fault activity) ที่อยู่ลึกลงไปใต้พื้นผิวโลก น้ำที่ร้อนจัดนี้จะดันขึ้นมาสู่ผิวโลกตามรอยแตกของหิน (rock fractures) หรือรอยเลื่อน (faults)

บ่อน้ำพุร้อนปอริงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของกิจกรรมความร้อนใต้พิภพในพื้นที่ ซึ่งสัมพันธ์กับกระบวนการก่อตัวของภูเขาคินาบาลูและโครงสร้างทางธรณีวิทยาที่เกี่ยวข้อง น้ำแร่ในบ่อน้ำพุร้อนนี้อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ (minerals) ซึ่งเชื่อว่ามีคุณสมบัติในการบำบัดรักษา การเยี่ยมชมบ่อน้ำพุร้อนปอริงไม่เพียงแต่เป็นการพักผ่อนหย่อนใจ แต่ยังเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับกลไกทางธรณีวิทยาที่ซับซ้อนซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าทึ่งนี้

4. หินตะกอนคดโค้งและรอยเลื่อนในพื้นที่ราเนา-ทัมบูนัน (Folded & Faulted Sedimentary Rocks in Ranau-Tambunan Area)

พื้นที่ราเนา-ทัมบูนัน (Ranau-Tambunan area) นำเสนอภูมิทัศน์ทางธรณีวิทยาที่แสดงให้เห็นถึงพลังมหาศาลของกระบวนการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก (tectonic forces) บริเวณนี้โดดเด่นด้วยการปรากฏของ "หินตะกอนคดโค้ง" (folded sedimentary rocks) และ "รอยเลื่อน" (faulted rocks) อย่างชัดเจน

หินตะกอน (sedimentary rocks) เดิมทีวางตัวเป็นชั้นในแนวนอน แต่ด้วยแรงบีบอัดจากการชนกันของแผ่นเปลือกโลก (plate collision) หรือการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก ทำให้หินเหล่านี้เกิดการคดโค้ง (folding) เป็นรูปคลื่นขนาดใหญ่ หรือเกิด "รอยเลื่อน" (faulting) ซึ่งเป็นรอยแตกในหินที่แสดงให้เห็นการเคลื่อนที่ของมวลหิน รอยเลื่อนและโครงสร้างการคดโค้งเหล่านี้เป็นหลักฐานทางกายภาพที่บอกเล่าเรื่องราวของประวัติศาสตร์ธรณีวิทยาอันยาวนานและรุนแรงในภูมิภาคนี้ การเดินสำรวจในพื้นที่นี้ช่วยให้นักธรณีวิทยาและนักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นและตีความกระบวนการทางธรณีพลศาสตร์ (geodynamic processes) ที่เกิดขึ้นในอดีตได้อย่างชัดเจน

ความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม (Biodiversity & Culture)

อุทยานธรณีโลกคินาบาลูไม่เพียงเป็นแหล่งรวมมรดกทางธรณีวิทยาที่สำคัญ แต่ยังเป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity hotspot) และวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับโลกอย่างลึกซึ้ง ความสัมพันธ์ระหว่างหิน ดิน น้ำ ป่าไม้ และมนุษย์ (rock-soil-water-forest-human relationship) เป็นหัวใจสำคัญของอุทยานแห่งนี้

ความสัมพันธ์ของหิน-ดิน-น้ำ-ป่าไม้ (Rock-Soil-Water-Forest Relationship): หินชนิดต่างๆ ในพื้นที่ เช่น หินอัลตรามาฟิกและหินแกรนิต เป็นต้นกำเนิดของดินที่มีลักษณะเฉพาะ ดินที่เกิดจากหินอัลตรามาฟิกมักมีธาตุโลหะหนักสูง ซึ่งส่งผลต่อพืชพรรณที่สามารถเจริญเติบโตได้ น้ำจากแหล่งน้ำพุร้อนและธารน้ำบนภูเขาหล่อเลี้ยงระบบนิเวศอันอุดมสมบูรณ์ ป่าฝนเขตร้อน (tropical rainforests) อันหนาทึบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติคินาบาลู (Kinabalu Park) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโกในปี 2000 นั้น ถือเป็น "ศูนย์รวมความหลากหลายของพืช" (Centre of Plant Diversity) ที่สำคัญระดับโลก

ความหลากหลายทางชีวภาพที่เป็นเอกลักษณ์ (Unique Biodiversity): อุทยานแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์เฉพาะถิ่น (endemic plants and animals) จำนวนมาก ตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่ กล้วยไม้กว่า 90 ชนิดที่พบได้เฉพาะบนภูเขาคินาบาลูเท่านั้น รวมถึงนกกระทาหัวแดง (crimson-headed partridge bird) ซึ่งไม่พบที่ใดในโลก การอนุรักษ์พื้นที่นี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปกป้องสิ่งมีชีวิตที่เปราะบางและเป็นเอกลักษณ์เหล่านี้

วัฒนธรรมและชุมชน (Culture and Communities): ประชากรกว่า 290,000 คนที่อาศัยอยู่ในเขตโคตาเบลุด โคตามารูดุ และราเนา มีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติและมรดกทางธรณีวิทยาของพื้นที่ พวกเขาเป็นผู้ดูแลมรดกเหล่านี้ผ่านภูมิปัญญาท้องถิ่นและประเพณีที่สืบทอดกันมา อุทยานธรณีโลกคินาบาลูมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธรณีวิทยา (geotourism) สร้างรายได้ และสร้างโอกาสการจ้างงาน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์และการจัดการอุทยานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

ด้วยการยอมรับล่าสุดนี้ รัฐซาบาห์ จึงได้รับ "สามมงกุฎของยูเนสโก" (UNESCO Triple Crown) ซึ่งเป็นสถานะอันทรงเกียรติที่ทำให้ซาบาห์ เป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งทั่วโลก ที่ถือครองการขึ้นทะเบียนสามรายการของยูเนสโกพร้อมกัน ได้แก่ อุทยานแห่งชาติคินาบาลูในฐานะแหล่งมรดกโลก (2000), เขตสงวนชีวมณฑลเทือกเขาคร็อกเกอร์ (Crocker Range Biosphere Reserve) ในปี 2014 และอุทยานธรณีโลกยูเนสโกคินาบาลูในปี 2023 ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติและวัฒนธรรมในพื้นที่แห่งนี้

อุทยานธรณีโลกยูเนสโกคินาบาลู เป็นมากกว่าเพียงแหล่งท่องเที่ยว แต่เป็นห้องเรียนธรรมชาติขนาดใหญ่ที่บันทึกประวัติศาสตร์อันยาวนานของโลกไว้ในหินผาและภูมิทัศน์อันตระการตา การผสมผสานของหินอัลตรามาฟิก หินแกรนิตแทรกซอน ลำดับชั้นโอฟิโอไลต์ และภูมิประเทศที่เกิดจากธารน้ำแข็งและกระบวนการคดโค้งรอยเลื่อน ล้วนเป็นพยานถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของโลกที่หล่อหลอมทุกสิ่งที่เราเห็น การเดินทางเยือนคินาบาลูจึงเป็นการเปิดประสบการณ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่ในด้านความรู้ทางธรณีวิทยา แต่ยังรวมถึงความเข้าใจในความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างธรรมชาติและวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่น

ในฐานะส่วนหนึ่งของ "สามมงกุฎของยูเนสโก" รัฐซาบาห์ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์มรดกโลกอย่างแท้จริง อุทยานธรณีแห่งนี้จึงเป็นแหล่งกำเนิดแรงบันดาลใจในการศึกษาธรณีวิทยาภาคพื้นดิน และเป็นตัวอย่างของการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงธรณีวิทยาอย่างยั่งยืน ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมการอนุรักษ์ การให้ความรู้ และการสร้างประโยชน์แก่ชุมชนท้องถิ่น การปกป้องและหวงแหนอุทยานธรณีโลกคินาบาลูจึงเป็นภารกิจร่วมกันของพวกเราทุกคน เพื่อให้มรดกอันล้ำค่านี้ยังคงยืนยงและเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุดสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป

เอกสารอ้างอิง (References)

  • November 29, 8:50 AM

  • November 29, 8:50 AM

.

ขอต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์
www.iok2u.com
แหล่งข้อมูลสารสนเทศเพื่อคุณ

เว็บไซต์ www.iok2u.com นี้เกิดมาจาก แรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward โดยมีเป้าหมายเล็ก ๆ ที่กำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่เข้าเรียนสัมมนาหรืออบรมในแต่ละครั้ง จะนำความรู้มาจัดทำเป็นบทความอย่างน้อย 3 เรื่อง เพื่อมาลงในเว็บนี้
ความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับมาทำการถ่ายทอดต่อไป และหวังว่าจะมีคนมาอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์นำเอาไปใช้ได้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลย โดยอาจไม่ต้องอ้างอิงที่มาหรือมาตอบแทนผู้จัด แต่ขอให้ส่งต่อหากคิดว่ามันดีหรือมีประโยชน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้และสิ่งดี ๆ ต่อไปข้างหน้าต่อไป Pay It Forward