2020 ปล่องภูเขาไฟโตบา อุทยานธรณีโลก (Toba Caldera UNESCO Global Geopark)
อุทยานธรณีโลกยูเนสโก ปล่องภูเขาไฟโตบา (Toba Caldera UNESCO Global Geopark) มรดกโลกแห่งภูเขาไฟและวัฒนธรรมบนเกาะสุมาตรา
ปล่องภูเขาไฟโตบา (Toba Caldera UNESCO Global Geopark) ซึ่งตั้งอยู่บน เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานธรณีโลกจากยูเนสโกอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2563 การได้รับสถานะนี้เป็นการตระหนักถึงมรดกทางธรณีวิทยาอันโดดเด่นของพื้นที่ ซึ่งถือกำเนิดจากการระเบิดของ ภูเขาไฟมหาประลัย (supervolcanic eruption) เมื่อประมาณ 74,000 ปีที่แล้ว ก่อให้เกิดทะเลสาบโทบา (Lake Toba) ซึ่งเป็นทะเลสาบที่เกิดจากภูเขาไฟที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ความมหัศจรรย์ทางธรณีวิทยาแห่งนี้ ยังรวมถึงปล่องภูเขาไฟ (caldera) ขนาดยักษ์ และเกาะซาโมซีร์ (Samosir Island) ซึ่งเป็นโดมภูเขาไฟที่เกิดจากการยกตัวของพื้นทะเลสาบ (resurgent dome) อันเป็นเอกลักษณ์
การเข้ามาสำรวจอุทยานธรณีแห่งนี้ไม่เพียงแต่มอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่น่าประทับใจ แต่ยังเป็นโอกาสอันล้ำค่าในการเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการทางธรณีวิทยาที่หล่อหลอมโลกของเรา ส่งเสริมความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์โลก (Earth Science education) และสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ธรณีวิทยา (geoconservation) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน การเดินทางสู่กัลเดราโทบาจึงเป็นการผสานรวมความรู้ทางวิชาการเข้ากับความรื่นรมย์ของการเดินทาง และเป็นส่วนหนึ่งของการปกป้องมรดกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมอันล้ำค่าสำหรับชนรุ่นหลัง
บริบททางภูมิศาสตร์และธรณีวิทยา (Geographical & Geological Context)
อุทยานธรณีกัลเดราโทบาครอบคลุมพื้นที่กว่า 300,000 เฮกตาร์ใน 7 เขตปกครองของจังหวัดสุมาตราเหนือ โดยมีทะเลสาบโทบาเป็นศูนย์กลาง ทะเลสาบแห่งนี้เป็นทะเลสาบที่เกิดจากภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความลึกสูงสุดประมาณ 505 เมตร และครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,130 ตารางกิโลเมตร
ลักษณะภูมิประเทศ (Topography): ภูมิประเทศของปล่องภูเขาไฟโทบา โดดเด่นด้วยขอบปล่องภูเขาไฟที่สูงชัน (caldera cliff morphology) ล้อมรอบทะเลสาบขนาดมหึมา ภายในทะเลสาบมีเกาะซาโมซีร์ตั้งตระหง่านอยู่ ซึ่งเป็นโดมภูเขาไฟที่เกิดจากการยกตัวของพื้นทะเลสาบ (resurgent dome) เกาะแห่งนี้มีความสูงและลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเนินเขา โดมยกตัวแห่งนี้ถือเป็นโดมยกตัวกัลเดราที่ยังคงมีการเคลื่อนไหวมากที่สุดในโลก (most active caldera resurgent in the world) บริเวณโดยรอบประกอบด้วยที่ราบสูงและพื้นที่ภูเขาที่เกิดจากการทับถมของเถ้าภูเขาไฟ (volcanic ash) และหินภูเขาไฟ (volcanic rock)
ธรณีวิทยาและการก่อกำเนิด (Geology & Formation Process): หัวใจทางธรณีวิทยาของอุทยานธรณีแห่งนี้คือ ปล่องภูเขาไฟโทบา ซึ่งเป็นผลมาจากการระเบิดครั้งใหญ่ของภูเขาไฟมหาประลัย (supervolcanic eruption) หรือที่เรียกว่าการปะทุของ ภูเขาไฟควอเทอร์นารี (Quaternary supervolcano eruption) เมื่อประมาณ 74,000 ปีที่แล้ว เหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 2.5 ล้านปีนี้ ได้พ่นเถ้าภูเขาไฟออกไปในปริมาณมหาศาล ทำให้เกิดการยุบตัวของห้องแมกมา (magma chamber) ขนาดใหญ่ กลายเป็นแอ่งยุบตัวขนาดมหึมา (caldera) และถูกเติมเต็มด้วยน้ำฝนจนกลายเป็นทะเลสาบโทบาในปัจจุบัน
หลังจากนั้น แรงดันของแมกมาที่หลงเหลืออยู่ใต้พื้นผิวได้ดันให้พื้นทะเลสาบยกตัวขึ้น ก่อให้เกิดเกาะซาโมซีร์ ซึ่งเป็นโดมภูเขาไฟที่ยกตัวขึ้นมากลางทะเลสาบ (resurgent dome) การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาเหล่านี้ได้สร้างความหลากหลายของหินภูเขาไฟ (volcanic rock formations) และโครงสร้างรอยเลื่อนที่ยังคงมีพลัง (active fault structures) ซึ่งสามารถสังเกตได้ตามจุดต่างๆ ทั่วอุทยานธรณี
ธรณีแหล่งสำคัญ (Key Geosites)
อุทยานธรณีโลกปล่องภูเขาไฟโทบา ประกอบด้วยธรณีแหล่งสำคัญ (geosites) ถึง 16 แห่ง ที่แสดงถึงมรดกทางธรณีวิทยา ชีวภาพ และวัฒนธรรมอันหลากหลาย โดยมีบางจุดเด่นที่ควรค่าแก่การสำรวจดังนี้:
-
ทะเลสาบโทบาและเกาะซาโมซีร์ (Lake Toba & Samosir Island) ทะเลสาบโทบาคือหัวใจของอุทยานธรณีแห่งนี้ เป็นทะเลสาบที่เกิดจากภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (largest volcanic lake) ที่มีต้นกำเนิดจากการระเบิดของภูเขาไฟมหาประลัยเมื่อ 74,000 ปีที่แล้ว การระเบิดครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดกัลเดราขนาด 100 x 30 กิโลเมตร ภายหลังการระเบิด พื้นที่ห้องแมกมาที่ว่างลงได้ยุบตัวลงกลายเป็นแอ่ง และถูกเติมเต็มด้วยน้ำจนกลายเป็นทะเลสาบอันกว้างใหญ่ ส่วนเกาะซาโมซีร์ที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบนั้นเป็นโดมภูเขาไฟที่ยกตัวขึ้นมา (resurgent dome) ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่แมกมาใต้พื้นผิวดันตัวขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้พื้นทะเลสาบยกสูงขึ้น เกาะแห่งนี้จึงเป็นธรณีสัณฐาน (geomorphological feature) ที่สำคัญ แสดงถึงกระบวนการทางธรณีวิทยาหลังการยุบตัวของกัลเดรา (post-caldera collapse processes) และยังคงมีการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกในระดับต่ำ
-
ซิลาลาฮี ซาบุงงัน (Silalahi Sabungan) ธรณีแหล่งนี้ตั้งอยู่บริเวณขอบกัลเดราด้านตะวันตก (Western Caldera Wall) มีความสำคัญทางธรณีวิทยาจากการเป็นที่ตั้งของหินซิลิลาฮี ซิกาดัป (Sigadap stone) และหินซิลิลาฮี ซีจงจง (Sijongjong stone) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธรณีโครงสร้างที่โดดเด่นในบริเวณนี้ นอกจากนี้ ยังมีอนุสาวรีย์ตูกู ซิลาลาฮี (Tugu Silalahi Monument) ซึ่งสร้างจากหินภูเขาไฟ (volcanic rock) ที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟโทบา แสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงระหว่างมรดกทางธรณีวิทยากับวัฒนธรรมท้องถิ่น
-
ซิปินซูร์ – บักติราจา (Sipinsur – Baktiraja) ธรณีแหล่งนี้โดดเด่นด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเนินเขากัลเดราปลายแหลม (pointed caldera hill shape) และมอบทัศนียภาพอันงดงามของทะเลสาบโทบาแบบพาโนรามา นักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมทัศนียภาพของหินภูเขาไฟ (volcanic rock formations) โครงสร้างรอยเลื่อนที่ยังคงมีพลัง (active fault structures) และรูปทรงหน้าผากัลเดรา (caldera cliff morphology) นอกจากนี้ พื้นที่ยังปกคลุมด้วยป่าสนและแปลงกาแฟ ทำให้เป็นจุดชมวิวธรรมชาติ (natural balcony) ของเขตฮุมบัง ฮาซุนดูตัน (Humbang Hasundutan Regency)
-
อัมบาริตา – บาตู โฮบน (Ambarita – Batu Hobon) ธรณีแหล่งนี้ตั้งอยู่ในเขตย่อยซาโมซีร์ (Samosir Geoarea) นอกเหนือจากมรดกทางวัฒนธรรมแล้ว ยังมีจุดเด่นทางธรณีวิทยาที่น่าสนใจคือ "บาตู โฮบน" (Batu Hobon) ซึ่งเป็นโดมหินลาวา (lava dome) ที่ก่อตัวขึ้นในระหว่างการกำเนิดของเกาะซาโมซีร์ บาตู โฮบนทำหน้าที่เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงกระบวนการภูเขาไฟที่ยังคงมีการเคลื่อนไหว (active volcanic processes) ในช่วงการฟื้นตัวของกัลเดราและวิวัฒนาการของเกาะซาโมซีร์
ความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม (Biodiversity & Culture)
อุทยานธรณีโลกกัลเดราโทบาไม่เพียงโดดเด่นด้วยมรดกทางธรณีวิทยา แต่ยังเป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) และวัฒนธรรม (cultural diversity) อันรุ่มรวย ซึ่งสะท้อนความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างหิน ดิน น้ำ ป่าไม้ และมนุษย์ในภูมิภาคนี้ (rock-soil-water-forest-human relationship)
ความสัมพันธ์กับระบบนิเวศ: ทะเลสาบโทบาและพื้นที่โดยรอบเป็นระบบนิเวศที่สำคัญ หินภูเขาไฟที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟโทบาได้ผุพังกลายเป็นดินภูเขาไฟที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง (fertile volcanic soil) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเจริญเติบโตของพืชพรรณนานาชนิด ทั้งป่าไม้ธรรมชาติและพืชเกษตรกรรม ดินที่อุดมสมบูรณ์นี้ยังช่วยในการกักเก็บน้ำ ทำให้เกิดแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่และระบบนิเวศป่าไม้ที่สมบูรณ์
ความหลากหลายทางชีวภาพ:
-
พืชพรรณ: พื้นที่นี้เป็นแหล่งรวมพืชพรรณหลากหลายชนิด รวมถึงอันดาลีมัน (Andaliman หรือ Batak pepper) ซึ่งเป็นพืชถิ่นเดียว (endemic plant) ที่เติบโตตามธรรมชาติและมีการเพาะปลูก ใช้ในอาหารพื้นเมืองของชาวบาตัก พืชหายากบางชนิด เช่น ซัมปินูร์ โรป (sampinur rope), ฮาเรียรา (hariara) ก็ได้รับการอนุรักษ์ นอกจากนี้ยังมีพืชสวน (horticultural plants) หลากหลายชนิด เช่น กาแฟ ส้ม มันฝรั่ง กะหล่ำปลี และกล้วย รวมถึงกล้วยไม้โทบา (Toba orchids)
-
สัตว์ป่า: ทะเลสาบโทบาเป็นที่อยู่อาศัยของ "อีฮาน บาตัก" (Ihan Batak หรือ Batak fish – Neolissochillus thienemanni) ซึ่งเป็นปลาถิ่นเดียว (endemic fish species) และใกล้สูญพันธุ์ (critically endangered) ที่มีความสำคัญทางนิเวศวิทยาและวัฒนธรรม นอกจากนี้ ยังพบแพลงก์ตอน แมคโครซูโอเบนทอส (macrozoobenthos) และปลาน้ำจืดชนิดอื่นๆ ในพื้นที่ป่ารอบทะเลสาบ พบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นก และสัตว์เลื้อยคลาน อย่างน้อย 78 ชนิด รวมถึงชะนีเซียมัง (Siamangs) และลิงชนิดต่างๆ ที่อุทยานป่าเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษอาเอก นาอูลี (Aek Nauli Special Purpose Forest Area) และอุรังอุตังตาปานูลี (Tapanuli Orangutan) ที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (critically endangered) ในป่าใกล้เคียง
ความหลากหลายทางวัฒนธรรม: อุทยานธรณีแห่งนี้เป็นถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์หลักสี่กลุ่ม ได้แก่ บาตัก โทบา (Batak Toba), ซีมาลุงงุน (Simalungun), กาโร (Karo) และปักปัก (Pakpak) ซึ่งยังคงรักษาประเพณีและวัฒนธรรมอันรุ่มรวยไว้ได้อย่างดี ความเชื่อและวิถีชีวิตของชาวบ้านผูกพันอย่างแยกไม่ออกกับสภาพแวดล้อมทางธรณีวิทยาและชีวภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาปูซุก บูฮิต (Pusuk Buhit) ซึ่งถือเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์และเชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของชาวบาตัก การอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมนี้ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธรณีวิทยา (geotourism) ช่วยให้ชุมชนท้องถิ่นได้รับประโยชน์จากการพัฒนาที่ยั่งยืน
อุทยานธรณีโลกยูเนสโก ปล่องภูเขาไฟโทบา เป็นสมบัติอันล้ำค่าที่สะท้อนถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติและการปรับตัวของชีวิตและวัฒนธรรม การระเบิดของภูเขาไฟมหาประลัยในอดีตก่อให้เกิดภูมิทัศน์อันน่าทึ่ง ซึ่งเป็นรากฐานของความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกจนถึงปัจจุบัน สถานะอุทยานธรณีโลกของยูเนสโกไม่เพียงแต่เป็นการยกย่องคุณค่าทางธรณีวิทยา แต่ยังเป็นการตอกย้ำถึงพันธกรณีในการอนุรักษ์และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับชุมชนท้องถิ่น
การเยี่ยมชมอุทยานธรณีแห่งนี้จึงเป็นมากกว่าการท่องเที่ยว แต่เป็นการเดินทางเชิงสำรวจที่เปี่ยมด้วยความรู้และแรงบันดาลใจ ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจเรื่องราวของโลกใบนี้ผ่านก้อนหิน ทิวทัศน์ และวิถีชีวิตของผู้คน การตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ธรณีวิทยา การให้การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์โลก และการปฏิบัติตนอย่างมีจริยธรรมในการท่องเที่ยว จะช่วยให้มรดกอันยิ่งใหญ่ของกัลเดราโทบายังคงอยู่คู่โลกต่อไป เพื่อเป็นบทเรียนและแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นหลังได้ศึกษาและชื่นชมในอนาคต
เอกสารอ้างอิง (References)
.
------------------------
ที่มา
- http://www.globalgeopark.org
- https://www.unesco.org/en/mab/wnbr/
รวบรวมรูปภาพ
------------------------
------------------------

