ประวัติของเมืองราชธานีโบราณ และยุคราชวงศ์ของ จีน (Ancient Capital and Dynasty Era) "ย้อนรอยประวัติศาสตร์ผ่านมหานครแห่งอารยธรรมจีน"
ประวัติศาสตร์จีนผ่านเมืองหลวงโบราณ จีน...หนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของโลก มีประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปี เมืองหลวงแต่ละแห่งไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางการปกครองเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และศิลปะที่ส่งต่ออิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน การศึกษาประวัติของเมืองหลวงต่าง ๆ ของจีนจึงเปรียบเสมือนการเดินทางย้อนเวลาเพื่อเข้าใจรากฐานแห่งโลกตะวันออกที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่ง
ประวัติศาสตร์จีนผ่านเมืองหลวงโบราณ ทำไมปักกิ่งจึงกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจของจีน ทั้งๆ ที่จีนมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 4,000 - 5,000 ปี ประวัติศาสตร์เมืองหลวงของจีน แผ่นดินจีนอันกว้างใหญ่ไพศาลได้เป็นพยานถึงความเจริญรุ่งเรือง และความเสื่อมถอยของราชวงศ์นับไม่ถ้วน โดยมีเมืองหลวงเป็นศูนย์กลางอำนาจในการกำหนดทิศทางประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าสี่พันปี การทำความเข้าใจถึงการเคลื่อนย้ายและการเปลี่ยนแปลงของเมืองหลวงเหล่านี้ คือ การเปิดหน้าต่างสู่พลวัตทางวัฒนธรรม การเมือง และภูมิศาสตร์ที่หล่อหลอมชาติจีนมาจนถึงปัจจุบัน
จีนมีเมืองหลวงที่หลากหลายตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงยุคปัจจุบัน กระจายตัวตั้งแต่บริเวณลุ่มแม่น้ำเหลืองจนถึงภาคกลางของประเทศ ปัจจุบันเมืองหลวงของจีนคือ กรุงปักกิ่ง (Beijing) ตลอดระยะเวลากว่าสามพันปี จีนมีการเปลี่ยนแปลงเมืองหลวงหลายครั้งตามการเปลี่ยนราชวงศ์และเหตุการณ์ทางการเมือง เมืองหลวงที่สำคัญได้แก่:
ตารางสรุปข้อมูลช่วงเวลา เมืองหลวงในแต่ละราชวงศ์
ราชวงศ์ | ชื่อเมืองหลวง | ช่วงเวลา (ค.ศ.) | ระยะเวลา (ปี) |
เซี่ย (Xia) | เอ๋อร์ลี่โต้ว (Erli-tou) | 2070–1600 ก่อน คศ. | ประมาณ 470 |
ซาง (Shang) | อันหยาง (Anyang) | 1600–1046 ก่อน คศ. | ประมาณ 554 |
ฉิน (Qin) | เสียนหยาง (Xianyang) | 221–206 ก่อน คศ. | 15 ปี |
ฮั่นตะวันตก (Western Han) | ฉางอัน (Chang'an) | 202 ก่อน คศ. | ประมาณ 211 |
ฮั่นตะวันออก (Eastern Han) | ลั่วหยาง (Luoyang) | 25–220 หลัง คศ. | 195 ปี |
ง่อก๊ก (Wu - สามก๊ก) | เจี้ยนเย่ (Jianye, ปัจจุบันหนานจิง) | 229–280 | 51 ปี |
จิ้นตะวันตก (Western Jin) | ลั่วหยาง (Luoyang) | 265–316 | 51 ปี |
จิ้นตะวันออก (Eastern Jin) | เจี้ยนคัง (Jiankang,ปัจจุบันหนานจิง) | 317–420 | 103 ปี |
สุย (Sui) | ต้าเสี้ยน(Daxian) - ฉางอัน (Chang'an) | 581–605 | ประมาณ 24 ปี |
ถัง (Tang) | ฉางอัน (Chang'an) | 618–907 | 289 ปี |
ซ่งเหนือ (Northern Song) | ไคเฟิง (Kaifeng) | 960–1127 | 167 ปี |
จิน (Jin - ชนชาติจูร์เจิน) | ไคเฟิง / ปักกิ่งช่วงปลาย | 1127–1234 | 107 ปี |
หยวน (Yuan) | ต้าตู (Dadu, ปักกิ่ง) | 1271–1368 | 97 ปี |
หมิง (Ming) (ต้นราชวงศ์) | หนานจิง (Nanjing) | 1368–1421 | 53 ปี |
หมิง (Ming) (ปลายราชวงศ์) | ปักกิ่ง (Beijing) | 1421–1644 | 223 ปี |
ชิง (Qing) | ปักกิ่ง (Beijing) | 1644–1912 | 268 ปี |
สาธารณรัฐจีน (Republic of China) | หนานจิง (Nanjing) (สมัยสาธารณรัฐจีน) | 1912–1949 | 37 ปี |
สาธารณรัฐประชาชนจีน (People's Republic of China) |
ปักกิ่ง (Beijing) | 1949–ปัจจุบัน | ต่อเนื่อง (70+ ปี) |
1. ราชวงศ์เซี่ย (Xia Dynasty) (ประมาณ 2070 - 1600 ปีก่อนคริสตกาล)
ราชวงศ์เซี่ย ถือเป็นราชวงศ์แรกตามประวัติศาสตร์จีนดั้งเดิม แม้ว่าหลักฐานทางโบราณคดีที่ยืนยันการมีอยู่ของราชวงศ์นี้โดยตรงยังคงเป็นที่ถกเถียง แต่ตำนานและบันทึกในยุคหลังได้กล่าวถึงการก่อตั้งรัฐ การพัฒนาการเกษตร และการปกครองแบบสืบทอด เอ๋อร์ลี่โต้ว (Erli-tou) เชื่อกันว่าเป็นศูนย์กลางอำนาจแห่งแรกของจีนยุคโบราณ แม้จะยังเป็นเมืองโบราณที่มีโบราณสถานเพียงบางส่วน แต่ได้วางรากฐานวัฒนธรรมจีนที่ยังคงสืบต่อมาถึงปัจจุบัน
เมืองหลวงของราชวงศ์เซี่ย ยังไม่เป็นที่แน่ชัดและมีการเปลี่ยนแปลงไปตามผู้ปกครอง นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีเสนอแนะเมืองต่างๆ เช่น หยางเฉิง (Yangcheng) และ เจิ้นสุน (Zhenxun) ซึ่งเชื่อว่าเป็นศูนย์กลางอำนาจในช่วงต่างๆ ของราชวงศ์เซี่ย เนื่องจากยังไม่มีการขุดค้นทางโบราณคดีที่ให้หลักฐานชัดเจน เมืองหลวงของเซี่ยจึงยังคงเป็นประเด็นที่ต้องศึกษาต่อไป
2. ราชวงศ์ซาง (Shang Dynasty) (ประมาณ 1600 - 1046 ปีก่อนคริสตกาล)
ราชวงศ์ซาง เป็นราชวงศ์แรกที่มีหลักฐานทางโบราณคดีที่ชัดเจน สนับสนุนโดยการค้นพบจารึกบนกระดูกเสี่ยงทาย (oracle bones) ซึ่งบันทึกเรื่องราวทางการเมือง ศาสนา และสังคม ยุคซางมีความก้าวหน้าทางด้านสำริด การเขียน และการจัดระเบียบสังคมแบบชนชั้น
เมืองหลวงราชวงศ์ซาง มีการย้ายเมืองหลวงหลายครั้ง แต่เมืองหลวงที่สำคัญที่สุดและเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ ยินซู (Yinxu) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมืองอันหยาง (Anyang) ในปัจจุบัน เมืองหลวงแห่งแรกที่มีหลักฐานลายลักษณ์อักษร ยินซูเป็นศูนย์กลางที่ยิ่งใหญ่ มีพระราชวัง วัด และสุสานขนาดใหญ่ พบจารึกกระดูกสัตว์และเต่าพยากรณ์ ซึ่งเป็นรากฐานของอักษรจีนในปัจจุบัน การขุดค้นที่ยินซูได้เปิดเผยโบราณวัตถุล้ำค่ามากมายที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของยุคซาง
3. ราชวงศ์ฉิน (Qin Dynasty) (221 - 206 ปีก่อนคริสตกาล)
ราชวงศ์ฉิน มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียวภายใต้การปกครองของ ฉินสื่อหวงตี้ จักรพรรดิองค์แรกของจีน ในสมัยจักรพรรดิฉินสื่อหวง (จิ๋นซีฮ่องเต้) ได้รวมจีนเป็นปึกแผ่นและใช้เสียนหยางเป็นเมืองหลวงหลัก มีการสร้างระบบการปกครองแบบรวมศูนย์ การใช้มาตรฐานเดียวกันด้านกฎหมาย สกุลเงิน มาตราชั่งตวงวัด และตัวอักษร นอกจากนี้ยังมีการก่อสร้างกำแพงเมืองจีนเพื่อป้องกันการรุกรานจากทางเหนือ แม้ว่าราชวงศ์จะอยู่ได้ไม่นาน แต่ได้วางรากฐานสำคัญสำหรับการปกครองของจีนในยุคต่อมา ปรากฏร่องรอยสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ เช่น สุสานทหารดินเผา เสียนหยาง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอันยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ความรุ่งเรืองของเสียนหยางนั้นสั้นนัก เมื่อราชวงศ์ฉินล่มสลายลง
เมืองหลวงของราชวงศ์ฉิน คือ เสียนหยาง (Xianyang) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมืองซีอานในปัจจุบัน เสียนหยางเป็นศูนย์กลางอำนาจที่โอ่อ่า มีพระราชวังและสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิฉิน อย่างไรก็ตาม เมืองหลวงแห่งนี้ถูกทำลายลงหลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ฉิน
4. ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (Western Han Dynasty) (206 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 25)
ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ก่อตั้งโดย หลิวปัง (จักรพรรดิฮั่นเกาจู่) หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ฉิน ยุคฮั่นตะวันตกเป็นช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการขยายอาณาเขต มีการพัฒนาลัทธิขงจื๊อให้เป็นอุดมการณ์ของรัฐ การค้าตามเส้นทางสายไหมเริ่มเฟื่องฟู และมีการประดิษฐ์กระดาษ
เมืองหลวงของราชวงศ์ฮั่นตะวันตก คือ ฉางอาน (Chang'an) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเมืองซีอานในปัจจุบัน ฉางอานในยุคฮั่นตะวันตกเป็นมหานครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม มีประชากรจำนวนมากและเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางและพ่อค้าจากทั่วโลก
5. ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (Eastern Han Dynasty) (ค.ศ. 25 - 220)
ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เริ่มต้นขึ้นเมื่อ หลิวซิ่ว (จักรพรรดิฮั่นกวังอู่) ฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นหลังจากช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย แม้ว่าในช่วงต้นจะมีความเจริญรุ่งเรือง แต่ในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออกเริ่มอ่อนแอลงจากการแทรกแซงของขันทีและการกบฏต่างๆ ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายและการแบ่งแยกเป็นสามก๊ก
เมืองหลวงของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก คือ ลั่วหยาง (Luoyang) ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของฉางอาน ลั่วหยางในยุคฮั่นตะวันออกยังคงเป็นเมืองสำคัญทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ แต่ความสำคัญทางการเมืองค่อยๆ ลดลงเมื่อเทียบกับฉางอานในยุคฮั่นตะวันตก
6. ง่อก๊ก (Wu - Three Kingdoms) (ค.ศ. 222 - 280)
ง่อก๊กเป็นหนึ่งในสามก๊ก ที่ก่อตั้งขึ้นหลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ตั้งอยู่ในภูมิภาคทางใต้ของจีน มีความโดดเด่นด้านการพัฒนาการเดินเรือและการค้าทางทะเล เมื่อจีนแตกออกเป็นสามก๊ก แต่ละก๊กต่างก็มีเมืองหลวงของตนเอง ได้แก่ สี่ตู ของวุยก๊ก, เจี้ยนเยี่ย (หนานจิง Nanjing) หลายราชวงศ์ (สามก๊ก, จิ้นตะวันออก, ห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร) ของง่อก๊ก และ เฉิงตู ของจ๊กก๊ก การปรากฏตัวของเมืองหลวงหลายแห่งสะท้อนถึงความแตกแยกทางการเมืองในยุคนั้น เป็นเมืองหลวงในยุคสมัยของสามก๊ก (โดยเฉพาะก๊กง่อก๊ก) และมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์การรวมชาติในสมัยราชวงศ์หมิง
เมืองหลวงของง่อก๊ก คือ เจี้ยนเยี่ย (Jianye) ซึ่งปัจจุบันคือเมืองนานกิง (Nanjing) เจี้ยนเยี่ยเป็นศูนย์กลางการปกครองและเศรษฐกิจที่สำคัญในภูมิภาคทางใต้
7. ราชวงศ์จิ้นตะวันตก (Western Jin Dynasty) (ค.ศ. 266 - 316)
ราชวงศ์จิ้นตะวันตก ก่อตั้งโดย สุมาเหยียน (จักรพรรดิจิ้นอู่) ซึ่งสามารถรวมแผ่นดินจีนที่แตกแยกเป็นสามก๊กได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ความอ่อนแอภายในและการรุกรานของชนเผ่าทางเหนือ (ห้าชนเผ่า) นำไปสู่ความวุ่นวายและการล่มสลายของราชวงศ์จิ้นตะวันตก
เมืองหลวงของราชวงศ์จิ้นตะวันตก คือ ลั่วหยาง (Luoyang) ในช่วงแรก และต่อมาได้ย้ายไปยัง ฉางอาน (Chang'an) ก่อนที่จะถูกยึดครองโดยชนเผ่าทางเหนือ
8. ราชวงศ์จิ้นตะวันออก (Eastern Jin Dynasty) (ค.ศ. 317 - 420)
ราชวงศ์จิ้นตะวันออก ก่อตั้งโดยเชื้อสายของราชวงศ์จิ้นตะวันตก ที่อพยพลงใต้หลังจากภาคเหนือถูกชนเผ่าทางเหนือยึดครอง แม้ว่าจะควบคุมพื้นที่ทางใต้ แต่ก็ต้องเผชิญกับการรุกรานจากทางเหนืออย่างต่อเนื่อง ยุคนี้มีความสำคัญในการอนุรักษ์วัฒนธรรมจีนดั้งเดิมในภาคใต้ ยุคราชวงศ์จิ้น หลังจากการรวมประเทศอีกครั้งภายใต้ เมืองหลวงได้ย้ายไปมาระหว่าง ลั่วหยาง และ ฉางอาน ก่อนที่จะลงใต้ไปยัง เจี้ยนเยี่ย (นานกิง) ซึ่งกลายเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์จิ้นตะวันออกและราชวงศ์ใต้ต่อมา การย้ายเมืองหลวงลงใต้สะท้อนถึงการอพยพของประชากรและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
เมืองหลวงของราชวงศ์จิ้นตะวันออก คือ เจี้ยนคัง (Jiankang) ซึ่งเป็นชื่อใหม่ของเจี้ยนเยี่ย (นานกิง) เจี้ยนคังกลายเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรมที่สำคัญในภาคใต้
9. ราชวงศ์สุย (Sui Dynasty) (ค.ศ. 581 - 618)
ราชวงศ์สุย มีความสำคัญในการรวมแผ่นดินจีนที่แตกแยกมาเป็นเวลานานอีกครั้งภายใต้การปกครองที่เข้มแข็ง มีการก่อสร้างคลองขนาดใหญ่ (Grand Canal) เพื่อเชื่อมโยงภาคเหนือและภาคใต้ และมีการปรับปรุงระบบการบริหาร อย่างไรก็ตาม การปกครองที่เข้มงวดและการทำสงครามที่ไม่ประสบความสำเร็จนำไปสู่การล่มสลายอย่างรวดเร็ว
เมืองหลวงของราชวงศ์สุย คือ ต้าซิงเฉิง (Daxingcheng) ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นฉางอานในยุคราชวงศ์ถัง และ ลั่วหยาง (Luoyang) ก็มีความสำคัญในฐานะเมืองหลวงรอง
10. ราชวงศ์ถัง (Tang Dynasty) (ค.ศ. 618 - 907)
ราชวงศ์ถังถือเป็นยุคทองยุคหนึ่งของจีน มีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศิลปะ และเทคโนโลยี อาณาเขตขยายใหญ่ไพศาล มีการค้ากับต่างชาติอย่างกว้างขวาง และวัฒนธรรมถังมีอิทธิพลอย่างมากต่อเอเชียตะวันออก ยุคราชวงศ์ถัง จีนกลับมาเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง และ ฉางอาน ก็กลับมาเป็นเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง ยุคถังถือเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดในประวัติศาสตร์จีน และฉางอานได้กลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลที่สุดในโลก เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมนานาชาติและการค้าที่เฟื่องฟู
เมืองหลวงหลักของราชวงศ์ถัง คือ ฉางอาน (Chang'an) ซึ่งเป็นมหานครที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลที่สุดในโลกในขณะนั้น เป็นศูนย์กลางของความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการค้า นอกจากนี้ ลั่วหยาง (Luoyang) ก็ยังคงมีความสำคัญในฐานะเมืองหลวงรอง
11. ราชวงศ์ซ่งเหนือ (Northern Song Dynasty) (ค.ศ. 960 - 1127)
ราชวงศ์ซ่งเหนือ สามารถรวมแผ่นดินจีนส่วนใหญ่ได้อีกครั้ง แม้ว่าจะไม่สามารถควบคุมดินแดนทางเหนือที่ถูกชนเผ่าเหลียว (Liao) ยึดครองไปได้ ยุคซ่งเหนือมีความโดดเด่นด้านความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ การค้า การพิมพ์ และปรัชญาลัทธิขงจื๊อใหม่ ยุคราชวงศ์ซ่ง เมืองหลวงได้ย้ายไปทางตะวันออกสู่ ไคเฟิง ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำฮวงโห ทำให้สะดวกต่อการคมนาคมทางน้ำและการค้า อย่างไรก็ตาม การรุกรานจากชนเผ่าทางเหนือทำให้ราชวงศ์ซ่งต้องย้ายเมืองหลวงลงใต้ไปยัง เจี้ยงหนิง (นานกิง) และต่อมาคือ หลินอัน (หางโจ) ซึ่งสะท้อนถึงการสูญเสียดินแดนทางเหนือและความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของภูมิภาคทางใต้
เมืองหลวงของราชวงศ์ซ่งเหนือ คือ ไคเฟิง (Kaifeng) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำฮวงโห มีความเจริญรุ่งเรืองทางการค้าและเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่สำคัญ
12. ราชวงศ์จิน (Jin Dynasty - Jurchen) (ค.ศ. 1115 - 1234)
ราชวงศ์จิน ก่อตั้งโดยชนเผ่าจูร์เชิน (Jurchen) ซึ่งเข้ามาจากทางเหนือและสามารถยึดครองดินแดนทางเหนือของจีน รวมถึงเมืองหลวงไคเฟิงของราชวงศ์ซ่งเหนือ ทำให้ราชวงศ์ซ่งต้องย้ายลงใต้ ยุคจินปกครองพื้นที่ทางเหนือของจีนในขณะที่ราชวงศ์ซ่งใต้ปกครองทางใต้
เมืองหลวงแรกของราชวงศ์จิน คือ ฮุ่ยหนิง (Huining) ในแมนจูเรีย ต่อมาได้ย้ายไปยัง เยียนจิง (Yanjing) ซึ่งปัจจุบันคือปักกิ่ง และสุดท้ายคือ ไคเฟิง (Kaifeng) หลังจากยึดครองจากราชวงศ์ซ่งเหนือ
13. ราชวงศ์หยวน (Yuan Dynasty) (ค.ศ. 1271 - 1368)
ราชวงศ์หยวนก่อตั้งโดยชาวมองโกลภายใต้การนำของ กุบไลข่าน เป็นราชวงศ์ต่างชาติแรกที่ปกครองจีนทั้งหมด มีการขยายอาณาเขตอย่างกว้างขวาง และมีการติดต่อกับโลกตะวันตกมากขึ้นผ่านเส้นทางสายไหม จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อชนเผ่าเร่ร่อนจากทางเหนือ เช่น ชิตัน หนีเจิน และมองโกล เข้ามามีอำนาจในจีนตอนเหนือและสถาปนา ปักกิ่ง เป็นศูนย์กลางการปกครองของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุค ราชวงศ์หยวน ภายใต้การปกครองของมองโกล
เมืองหลวงของราชวงศ์หยวน คือ ต้าตู (Dadu) ซึ่งปัจจุบันคือปักกิ่ง กุบไลข่านได้สร้างเมืองหลวงใหม่ที่ยิ่งใหญ่บนที่ตั้งของเมืองหลวงเก่าของราชวงศ์จิน
14. ราชวงศ์หมิง (Ming Dynasty) (ค.ศ. 1368 - 1644)
ราชวงศ์หมิงก่อตั้งโดยชาวฮั่นภายใต้การนำของ จูหยวนจาง (จักรพรรดิหงหวู่) ซึ่งขับไล่ชาวมองโกลออกไป มีการฟื้นฟูวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม การขยายอำนาจทางทะเลในยุคต้น (การสำรวจของเจิ้งเหอ) และการก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามและกำแพงเมืองจีนที่เห็นในปัจจุบัน จูหยวนจาง สถาปนาราชวงศ์หมิง เขาได้เลือก นานกิง เป็นเมืองหลวง อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัยของจักรพรรดิหย่งเล่อ เมืองหลวงได้ถูกย้ายกลับไปยัง ปักกิ่ง อย่างถาวร ปักกิ่งได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ให้ยิ่งใหญ่ตระการตา กลายเป็นศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองและวัฒนธรรมของจีนมาจนถึงปัจจุบัน โดยมี พระราชวังต้องห้าม เป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่น
เมืองหลวงแรกของราชวงศ์หมิง คือ อิ้งเทียน (Yingtian) ซึ่งปัจจุบันคือนานกิง ต่อมาในรัชสมัยของจักรพรรดิหย่งเล่อ เมืองหลวงได้ถูกย้ายไปยัง ปักกิ่ง (Beijing) อย่างถาวร ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจที่สำคัญที่สุดของจีนในยุคต่อมา
15. ราชวงศ์ชิง (Qing Dynasty) (ค.ศ. 1644 - 1912)
ราชวงศ์ชิงเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีน ก่อตั้งโดยชาวแมนจู ซึ่งเข้ามาจากทางเหนือและสามารถยึดครองจีนทั้งหมดได้ในที่สุด แม้ว่าจะเป็นชนกลุ่มน้อยที่ปกครอง แต่ราชวงศ์ชิงก็สามารถรักษาความมั่นคงและขยายอาณาเขตได้ในช่วงแรก ก่อนที่จะเผชิญกับความท้าทายจากภายในและการรุกรานจากชาติตะวันตกในยุคหลัง
เมืองหลวงของราชวงศ์ชิง คือ ปักกิ่ง (Beijing) ซึ่งสืบทอดมาจากราชวงศ์หมิง มีการต่อเติมและปรับปรุงพระราชวังต้องห้ามและสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ให้ยิ่งใหญ่และงดงามยิ่งขึ้น
16. สาธารณรัฐจีน (Republic of China) (ค.ศ. 1912 - 1949)
สาธารณรัฐจีนก่อตั้งขึ้นหลังจากการปฏิวัติซินไฮ่ล้มล้างราชวงศ์ชิง แม้ว่าจะมีความพยายามในการสร้างรัฐชาติที่ทันสมัย แต่สาธารณรัฐจีนในช่วงแรกต้องเผชิญกับความวุ่นวายจากขุนศึก การรุกรานของญี่ปุ่น และสงครามกลางเมืองระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์
เมืองหลวงของสาธารณรัฐจีนในช่วงแรกคือ นานกิง (Nanjing) ต่อมาในช่วงสงครามกับญี่ปุ่น รัฐบาลได้ย้ายเมืองหลวงไปยัง ฉงชิ่ง (Chongqing) ชั่วคราว หลังจากสิ้นสุดสงคราม รัฐบาลกลับไปนานกิงอีกครั้ง ก่อนที่จะย้ายไป ไทเป (Taipei) หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์ชนะสงครามกลางเมืองและก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน
- สาธารณรัฐประชาชนจีน (People's Republic of China) (ค.ศ. 1949 - ปัจจุบัน)
สาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อตั้งขึ้นโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตง หลังจากการชนะสงครามกลางเมือง มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองครั้งใหญ่ และจีนได้กลายเป็นประเทศที่มีอิทธิพลระดับโลก
เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีน คือ ปักกิ่ง (Beijing) ซึ่งยังคงเป็นศูนย์กลางทางการเมือง วัฒนธรรม และการระหว่างประเทศของจีนมาจนถึงปัจจุบัน
ปักกิ่ง ในปัจจุบันจึงมิได้เป็นเพียงเมืองหลวง แต่เป็นร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์และยาวนานของชาติจีนจากเมืองต้าตูในสมัยมองโกลจนกลายมาเป็นมหานครที่เป็นศูนย์กลางการปกครองมายาวนานนับศตวรรษ และยังคงสืบทอดความสำคัญมาจนถึงปัจจุบัน การศึกษาประวัติศาสตร์ของเมืองหลวงจีนเหล่านี้ ช่วยให้เราเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของศูนย์กลางอำนาจ อิทธิพลของภูมิศาสตร์ และพลวัตทางสังคมและการเมืองที่หล่อหลอมประเทศจีนมาตลอดหลายพันปี ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน การเคลื่อนย้ายของเมืองหลวงจีนไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และภัยคุกคามจากภายนอก การทำความเข้าใจถึงพลวัตเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจถึงความซับซ้อนและพัฒนาการของอารยธรรมจีนได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
.
-------------------------
ที่มา
-
รวบรวมข้อมูลและรูป
-------------------------
ดูเพิ่มเติมในเรื่องที่เกี่ยวข้องได้ที่
-------------------------