Nares ไทย ลพบุรี เขาทับควาย อำเภอโคกสำโรง ทรพีก็มีดีเหมียนกัลล์นะจะบอกให้
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าดงพงทึบนอกเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง มีควายเผือกที่มีพละกำลังมากตัวหนึ่ง ชื่อว่า “ทรพา” มีบริวารเป็นควายตัวเมียถึงพันตัว เพราะว่าหากตัวเมียตัวใดตกลูกเป็นตัวผู้ เจ้าทรพาจะขวิดตายหมด อยู่มามีแม่ควายตัวหนึ่งได้แอบไปตกลูกตัวผู้ในถ้ำ และได้ให้ชื่อว่า “ทรพี” แม่ควายสั่งให้ลูกอยู่แต่ในถ้ำ แล้วหาอาหารมาเลี้ยงดูจนเติบโตเป็นหนุ่ม ครั้งใดที่เจ้าทรพีออกมาจากถ้ำ ก็จะคอยวัดรอยเท้าของพ่อทุกครั้งไป จนกระทั่งเห็นว่ารอยเท้ามีขนาดพอๆ กัน ก็ออกไปต่อสู้กับพ่อ (รูปที่1) ซึ่งถึงตอนนั้นก็กลายเป็นควายแก่ไปแล้ว จึงถูกทรพีฆ่าตาย (อันเป็นที่มาของสำนวนคำด่าว่า “ไอ้ลูกทรพี” เพื่อใช้กับลูกที่ทำร้ายหรืออกตัญญู เนรคุณต่อพ่อผู้บังเกิดเกล้า)
เมื่อฆ่าทรพาผู้พ่อได้แล้ว ทรพีก็เกิดอาการเหิมเกริม ทำตัวเกะกะระราน ท้าสู้ใครต่อใคร สร้างความเดือดร้อนให้แก่สิงสาราสัตว์ เจ้าเขาเจ้าป่า เทวดาฟ้าดินไปทั่ว ร้อนถึงพระอินทร์จึงสั่งให้ “พาลี” พญาลิง เจ้ามืองขีดขินไปกำราบเจ้าควายเกเร
พาลีกับทรพีต่อสู้กันตั้งแต่เช้ายันเย็นก็ไม่มีใครแพ้ใครชนะ พาลีจึงแนะว่า “วันนี้พอก่อน พรุ่งนี้เราเข้าไปสู้กันต่อในถ้ำหินดีกว่า” จากนั้น พาลีได้บอก “สุครีพ” ผู้น้องว่า “พรุ่งนี้พี่จะไปต่อสู้กับทรพีในถ้ำ ครบ 7 วันเมื่อไหร่ เองไปดูที่ปากถ้า ถ้ามีเลือดข้นไหลออกมา นั่นคือเลือดควาย เองไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าเป็นเลือดใสแสดงว่าพี่ตาย ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วให้เองเอาหินปิดปากถ้ำให้สนิท จะได้ไม่อายใครที่จะเข้าไปเห็นศพข้า” สุครีพก็รับคำด้วยดี
หลังจากการต่อสู้ครบ 7 วัน ทรพีก็ถูกพาลีฆ่าตาย และเกิดเหตุบังเอิญมีฝนตกหนัก น้ำฝนจึงไหลปนเลือดข้นของทรพีออกมานอกถ้ำ กลายเป็นเลือดใส สุครีพเห็นดังนั้นก็เข้าใจผิด คิดว่าพี่ชายตายไปแล้ว จึงสั่งให้บริวารนำหินมาปิดถ้ำจนสนิท ต่อเมื่อภายหลัง หลังจากพาลีได้ระเบิดถ้ำออกมาแล้ว ก็ได้สั่งให้เอาหินทับปิดปากถ้ำไว้เช่นเดิม เป็นเหตุให้ภูเขาลูกนี้ถูกเรียกขานว่า “เขาทับควาย”
เขาทับควาย ตั้งอยู่ในเขตอำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ในอดีตเคยมีการทำเหมืองแร่เหล็ก ภายใต้การควบคุมของกรมทรัพยากรธรณี แต่เมื่อหลายสิบปีก่อน อายุของประทานบัตรการทำเหมืองได้สิ้นสุดลง เขาทับควาย จึงกลายเป็นบริเวณที่เกี่ยวพันกับพื้นที่ทหาร และบางส่วนเป็นเขตโบราณสถานเหมืองแร่เก่าของกรมศิลปากร
ภูมิสันฐานปัจจุบันของเขาทับควายจึงเห็นเป็นภูเขาที่มีลานโล่งอยู่ตามเชิงเขา ด้านล่างสุดของลานโล่งนี้จะประกอบด้วยหินอ่อน (รูปที่2) และหินอัคนีประเภทแกรโนไดโอไรต์ประปราย เป็นหลักฐานสนับสนุนความเชื่อที่ว่า แร่เหล็กมีลำดับขั้นการกำเนิดเริ่มจากการแทรกดันของหินแกรโนไดโอไรต์ ทำให้หินปูนยุคเพอร์เมียน (สะสมตัวในทะเลเมื่อ 280-260 ล้านปี) กลายเป็นหินอ่อน จากนั้นจึงมีสายน้ำแร่ร้อน (hydrothermal veins) แทรกเข้ามาในหินอ่อน เกิดเป็นแร่เหล็ก และสิ่งที่หลงเหลืออยู่บนพื้นลานโล่งของเขาทับควาย หลังจากการทำเหมืองก็คือ เศษสินแร่เหล็ก ศิลาแลง และดินสีแดงวางระเกะระกะบนพื้นดิน (รูปที่ 3)
ก่อนเที่ยงวันของวันที่ 21 ธันวาคม 2565 ระหว่างที่ข้าพเจ้าและคณะแวะมาที่เขาทับควายนั้น ก็ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเลี้ยงแพะฝูงหนึ่ง เมื่อสอบถามว่าเขาทับควายมีตำนานเรื่องเล่าอะไรบ้าง แกก็เล่าให้ฟังดังที่ข้าพเจ้าเขียนมาตามย่อหน้าแรก แต่เมื่อถามว่าเขาทับควายมีหน้าตาเช่นนี้มานานหรือยัง แกตอบว่า “ตั้งแต่เด็กจนแก่ฉันก็เห็นเป็นอย่างนี้แหละ” พวกเราจึงถามแกว่า “ยายอายุเท่าไหร่ครับ” ยายตอบว่า “50 แล้ว” (ฮา) (รูปที่ 4)
มุกเด็ดที่ได้จากคุณยายในวันนี้ก็คือ ปู่ย่าตายายในละแวกนี้เชื่อกันว่า แร่เหล็กที่พบที่เขาทับควายนี้ ที่แท้ก็คือเลือดของทรพีที่ไหลนองออกมาจากถ้ำ ซึ่งก็ได้จุดประกายความคิดให้แก่ข้าพเจ้า ฟันธงต่อว่า เลือดของทรพีส่วนที่มีเฮโมโกบินสูง ก็จะกลายเป็นแร่แมกนีไทต์ (Fe2+Fe3+2O4) ซึ่งแม่เหล็กดูดคิด ส่วนเลือดที่มีเฮโมโกบินต่ำก็กลายเป็นแร่ฮีมาไทต์ (Fe2O3) ซึ่งไม่มีปฎิกิริยากับแม่เหล็ก พวกเราจึงเป็นหนี้บุญคุณ และต้องขอขอบคุณทรพี ที่พลีชีพเพื่อให้ก่อเกิดประโยชน์มหาศาลแก่คนไทย
อย่างนี้แล้วจะให้ผมสอบผ่านวิชาแร่วิทยา ไหมครับ ท่านอาจารย์
.
ที่มา https://www.facebook.com/nares.sattayarak
รวบรวมข้อมูลและภาพ www.iok2u.com
-------------------------------------------------
รวมบทความ นเรศ สัตยารักษ์ (Nares Sattayarak)-------------------------------------------------
ภาพที่ 1 ภาพวาดแสดงการต่อสู้ระหว่างทรพา (ควายเผือก) กับทรพี (ควายดำ)
ภาพที่ 2 ลานหินที่ลานโล่งตีนเขาทับควาย มีหินอ่อนดานอยู่พื้นล่าง มีเศษของสินแร่เหล็ก ทั้งชนิด slag และ scrap รวมทั้งแร่แมกนีไทต์ กับฮีมาไทต์ วางระเกะระกะตามพื้น
ภาพที่ 3 ลักษณะของเศษสินแร่เหล็ก กับแร่เหล็กที่พบวางตัวระเกะระกะอยู่บนพื้นดินที่เขาทับควาย