iok2u.com แหล่งรวมข้อมูลข่าวสารเรื่องราวน่าสนใจเพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้

ยืนหยัด เข้มแข็ง และกล้าหาญ (Stay Strong & Be Brave)
ขอเป็นกำลังใจให้คนดีทุกคนในการต่อสู้ความอยุติธรรม ในยุคสังคมที่คดโกงยึดถึงประโยชน์ส่วนตนและพวกฟ้องมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม จนหลายคนคิดว่าพวกด้านได้อายอดมักได้ดี แต่หากยึดคำในหลวงสอนไว้ในเรื่องการทำความดีเราจะมีความสุขครับ
มิสเตอร์เรน (Mr. Rain) และมิสเตอร์เชน (Mr. Chain)
Mr. Rain และ Mr. Chain สองพี่น้องในโลกออฟไลน์และออนไลน์ที่จะมาร่วมมือกันสร้างสื่อสารสนเทศ เพื่อเผยแพร่ให้ความรู้ในเรื่องราวต่างๆ มากมายสร้างสังคมในการเรียนรู้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา
Pay It Forward เป้าหมายเล็ก ๆ ในการส่งมอบความดีต่อ ๆ ไป
เว็ปไซต์นี้เกิดจากแรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward ที่เล่าถึงการมีเป้าหมายเล็ก ๆ กำหนดไว้ให้ส่งมอบความดีต่อไปอีก 3 คน หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา อยากให้ส่งต่อเพื่อถ่ายทอดต่อไป

การออกแบบระบบ (System Design) เลือก Database อย่างไรให้เหมาะกับงาน

 

System Design Deep Dive: เลือก Database อย่างไรให้เหมาะกับงาน (SQL vs. NoSQL)

หาก Load Balancer คือผู้จัดการจราจรของระบบ Database ก็เปรียบเสมือน "สมอง" และ "หัวใจ" ที่เก็บข้อมูลอันมีค่าทั้งหมดไว้ การเลือกฐานข้อมูลที่ "ใช่" ตั้งแต่แรกจึงเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในการออกแบบสถาปัตยกรรมระบบ เพราะการเปลี่ยนฐานข้อมูลในภายหลังนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง ฐานข้อมูลสองขั้วใหญ่อย่าง SQL และ NoSQL ความแตกต่าง, ข้อดี-ข้อเสีย

1. SQL (Relational Databases) และสถาปัตยกรรม Master-Slave ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ หรือ SQL (Structured Query Language) Database คือฐานข้อมูลแบบดั้งเดิมที่เรารู้จักกันดี ข้อมูลจะถูกจัดเก็บในรูปแบบตาราง (Table) ที่มีแถว (Row) และคอลัมน์ (Column) ที่มีโครงสร้างชัดเจนและตายตัว

จุดเด่นสำคัญคือ ACID

Atomicity: การทำงานต้องสำเร็จทั้งหมด หรือไม่ก็ล้มเหลวทั้งหมด จะไม่มีการทำงานเสร็จครึ่งๆ กลางๆ (เช่น โอนเงิน ต้องหักเงินจากบัญชีหนึ่ง และเพิ่มเงินในอีกบัญชีหนึ่งให้สำเร็จพร้อมกัน)

Consistency: ข้อมูลจะต้องถูกต้องตามกฎที่กำหนดไว้เสมอ

Isolation: การทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกัน (Transaction) จะต้องไม่กวนกัน ผลลัพธ์ต้องเหมือนกับการทำงานทีละอย่าง

Durability: เมื่อระบบยืนยันว่าทำงานสำเร็จแล้ว ข้อมูลนั้นจะต้องไม่หายไปไหน แม้ระบบจะล่มก็ตาม

สถาปัตยกรรม Master-Slave: ดังที่เคยเกริ่นในบทความแรก เพื่อรองรับการอ่านข้อมูลจำนวนมาก เรามักจะใช้สถาปัตยกรรมแบบ Master-Slave โดยที่

Master: รับหน้าที่ "เขียน" ข้อมูลเพียงอย่างเดียว

Slaves: รับหน้าที่ "อ่าน" ข้อมูล โดยคอยคัดลอก (Replicate) ข้อมูลล่าสุดจาก Master มาเสมอ

ตัวอย่าง: MySQL, PostgreSQL, Microsoft SQL Server

2. NoSQL (Non-Relational Databases) NoSQL หรือ "Not Only SQL" ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ของเว็บยุคใหม่ที่ต้องการความเร็ว, ความยืดหยุ่น, และความสามารถในการรองรับข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างหรือมีขนาดใหญ่มากๆ (Big Data) ซึ่ง SQL แบบดั้งเดิมอาจทำได้ไม่ดีนัก

ประเภทของ NoSQL

Document Databases: เก็บข้อมูลในรูปแบบเอกสาร JSON ที่ยืดหยุ่นสูง (เช่น MongoDB)

Key-Value Stores: เก็บข้อมูลแบบคู่ Key-Value ง่ายๆ แต่ทำงานเร็วมาก (เช่น Redis, DynamoDB)

Wide-column Stores: เหมาะกับข้อมูลขนาดมหึมา กระจายตัว และต้องการเขียนข้อมูลเร็ว (เช่น Cassandra, HBase)

Graph Databases: เหมาะกับข้อมูลที่มีความสัมพันธ์ซับซ้อนเหมือนเครือข่ายใยแมงมุม (เช่น Neo4j)

จุดเด่นสำคัญคือ BASE

Basically Available: ระบบพร้อมใช้งานเสมอ (เน้น High Availability)

Soft state: สถานะของระบบอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

Eventual consistency: ข้อมูลในระบบอาจจะไม่ตรงกันในทันที แต่สุดท้ายแล้ว (Eventually) มันจะตรงกันทั้งหมด

3. เปรียบเทียบ SQL vs. NoSQL

คุณสมบัติ

SQL (Relational)

NoSQL (Non-Relational)

รูปแบบข้อมูล

มีโครงสร้างชัดเจน (Schema-on-write) ต้องนิยามตารางก่อนเขียนข้อมูล

ยืดหยุ่น, ไม่มีโครงสร้าง, กึ่งโครงสร้าง (Schema-on-read)

การขยายตัว (Scalability)

เน้นการขยายแนวตั้ง (Vertical Scaling - เพิ่มสเปคเครื่อง) และขยายการอ่านด้วย Slave

เน้นการขยายแนวนอน (Horizontal Scaling - เพิ่มจำนวนเครื่อง)

ความถูกต้องของข้อมูล

เน้นความถูกต้องสูงสุด (Strong Consistency - ACID)

เน้นความพร้อมใช้งานสูง อาจยอมให้ข้อมูลไม่ตรงกันชั่วคราว (Eventual Consistency - BASE)

ความสัมพันธ์ของข้อมูล

เหมาะกับข้อมูลที่มีความสัมพันธ์ซับซ้อนและชัดเจน (ใช้ JOIN)

การ Join ข้อมูลทำได้ยากหรือไม่รองรับ ต้องออกแบบข้อมูลให้ดี

ภาษาที่ใช้

ใช้ภาษา SQL ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน

มี API หรือภาษาที่ใช้ค้นหาแตกต่างกันไปในแต่ละผลิตภัณฑ์

4. กรณีศึกษา

เลือกใช้ SQL เมื่อ

ระบบการเงิน/ธนาคาร/บัญชี: ทุก Transaction ต้องถูกต้อง 100% ห้ามผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว (ต้องการ ACID)

ระบบ E-commerce (ส่วนจัดการ Order): ข้อมูลคำสั่งซื้อ, สต็อกสินค้า, ข้อมูลลูกค้า มีความสัมพันธ์กันชัดเจนและต้องถูกต้องเสมอ

แอปพลิเคชันที่ข้อมูลมีโครงสร้างแน่นอน: และไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงบ่อยในอนาคต

เลือกใช้ NoSQL เมื่อ

Social Media Feeds: ข้อมูลมีขนาดใหญ่มาก, เขียนและอ่านบ่อย, ต้องการความเร็วสูงสุด และยอมรับได้หากเพื่อนบางคนจะเห็นโพสต์ล่าสุดช้าไปไม่กี่วินาที (Eventual Consistency)

ระบบจัดการเนื้อหา (CMS): บทความแต่ละชิ้นอาจมีโครงสร้าง field ไม่เหมือนกัน Document Database อย่าง MongoDB จะยืดหยุ่นกว่ามาก

Internet of Things (IoT): ต้องรับข้อมูลจากเซ็นเซอร์จำนวนมหาศาลพร้อมๆ กัน (High write throughput)

ระบบ Caching: ใช้ Key-Value Store อย่าง Redis เพื่อเก็บข้อมูลที่เรียกใช้บ่อยๆ เพื่อลดภาระของฐานข้อมูลหลัก

ระบบเก็บข้อมูลผู้ใช้ (User Profile): แต่ละผู้ใช้อาจมีข้อมูลไม่เท่ากัน การใช้ NoSQL ทำให้เพิ่ม field ใหม่ๆ เข้าไปได้ง่ายโดยไม่ต้องแก้โครงสร้างทั้งระบบ

ในโลกความเป็นจริง การพัฒนาระบบสมัยใหม่มักจะไม่ได้เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่จะใช้ทั้งสองอย่างร่วมกันในสถาปัตยกรรมเดียว (Polyglot Persistence) เช่น ใช้ SQL สำหรับจัดการคำสั่งซื้อที่ต้องการความถูกต้อง และใช้ NoSQL (เช่น Elasticsearch) สำหรับระบบค้นหาสินค้าที่ต้องการความเร็วและยืดหยุ่น การเข้าใจธรรมชาติของข้อมูลและ Requirement ของแอปพลิเคชัน คือกุญแจสำคัญที่สุดในการเลือก "เครื่องมือ" ที่เหมาะสมกับงาน เพื่อสร้างระบบที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพสูงสุด

.

-------------------------

ที่มาข้อมูล

ที่มาภาพและรวบรวม

www.iok2u.com 

-------------------------

สนใจเรื่องราวเพิ่มเติมคลิกที่นี่

การรวมระบบ (System Integration)

-------------------------

 

 
 
 
 
 

ขอต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์
www.iok2u.com
แหล่งข้อมูลสารสนเทศเพื่อคุณ

เว็บไซต์ www.iok2u.com นี้เกิดมาจาก แรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward โดยมีเป้าหมายเล็ก ๆ ที่กำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่เข้าเรียนสัมมนาหรืออบรมในแต่ละครั้ง จะนำความรู้มาจัดทำเป็นบทความอย่างน้อย 3 เรื่อง เพื่อมาลงในเว็บนี้
ความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับมาทำการถ่ายทอดต่อไป และหวังว่าจะมีคนมาอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์นำเอาไปใช้ได้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลย โดยอาจไม่ต้องอ้างอิงที่มาหรือมาตอบแทนผู้จัด แต่ขอให้ส่งต่อหากคิดว่ามันดีหรือมีประโยชน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้และสิ่งดี ๆ ต่อไปข้างหน้าต่อไป Pay It Forward